ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์

บริการตรวจสอบบัญชีและรับรองบัญชีสหกรณ์
บริษัทให้บริการตรวจสอบบัญชีและรับรองบัญชีสหกรณ์ โดยผู้สอบบัญชีสหกรณ์ ซึ่งปฏิบัติงานตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมบัญชีสหกรณ์กำหนด
โดยผู้สอบบัญชีสหกรณ์จะทำการตรวจสอบบัญชีในฐานะผู้สอบบัญชีสหกรณ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายทะเบียนสหกรณ์ ซึ่ง ปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป ระเบียบ ปฏิบัติและจรรยาบรรณของผู้สอบ บัญชีสหกรณ์ การขอคำปรึกษาแนะนำด้านการ บัญชีและการสอบบัญชี
การสอบบัญชีสหกรณ์” หมายถึง การตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสาร ประกอบการลงบัญชีและหลักฐานอื่น ๆ ตลอดจนการใช้วิธีการตรวจสอบอื่นที่ จำเป็น ตามแนวทางปฏิบัติงานที่วิชาชีพได้กำหนดเป็นมาตรฐาน รวมถึงกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำของนายทะเบียนสหกรณ์และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เพื่อผู้สอบบัญชีจะสามารถวินิจฉัยและแสดงความเห็นโดยอิสระและเที่ยง ธรรมต่องบการเงินที่สหกรณ์จัดทำขึ้น และเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะการเงิน และผล การดำเนินงานของสหกรณ์โดยถูกต้องตามที่ควรและเป็นไปตามหลักการบัญชีที่ รับรองทั่วไปหรือไม่ เพียงใด รวมถึงการเสนอข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะ อันเป็น ประโยชน์ต่อการบริหารงานสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ “ผู้สอบบัญชีสหกรณ์” หมายถึง บุคคลที่นายทะเบียนสหกรณ์แต่งตั้งให้ทำหน้าที่ ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542
การปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีสหกรณ์
1.        ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ต้องปฏิบัติงานสอบบัญชีตามมาตรฐานการ สอบบัญชีที่รับรองทั่วไป และตามระเบียบที่นายทะเบียนสหกรณ์กำหนด โดยให้ครอบคลุมทั้งในด้านการเงินการบัญชี (Financial Audit) การปฏิบัติการ (Operational Audit) และการบริหารงาน (Management Audit) ของสหกรณ์
2.        ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานของสหกรณ์ให้ เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียน    คำสั่ง คำแนะนำของนายทะเบียน สหกรณ์ และของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.       ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ต้องปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ชัดเจน ถูกต้องและเป็นธรรม
4.       ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ต้องวางแผน และปฏิบัติงานโดยใช้ วิจารณญาณเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพต่อข้อมูลของสหกรณ์ ตลอดจนต้อง กำหนดขอบเขตวิธีการตรวจสอบบัญชีให้เหมาะสมและรัดกุม
5.       การสอบบัญชีสหกรณ์ที่ชำระบัญชี ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ สหกรณ์ พ.ศ.2542 หมวด ว่าด้วยการชำระบัญชี รวมทั้งคำแนะนำวิธี ปฏิบัติในการชำระบัญชีของสหกรณ์ที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนด
6.       ให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนด ระเบียบ คำแนะนำ ในการ ปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชี ข้อ
7.       ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ต้องแสดงความเห็นในรายงานการสอบบัญชี ด้วยความเป็นอิสระและเที่ยงธรรม
 8.       ให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนดคำแนะนำในการจัดทำและเสนอ รายงานการสอบบัญชีสหกรณ์

การคัดเลือกผู้สอบบัญชี

วิธีการคัดเลือกผู้สอบบัญชี
ในการดำเนินธุรกิจนั้น จำเป็นต้องมีการจัดทำงบการเงิน ซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงฐานะทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรอบเวลา โดยงบการเงินนี้จะต้องมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ และเนื่องจากเหตุผลทั้งทางกฎหมายและความต้องการสร้างความเชื่อมั่นในงบการเงินให้แก่นักลงทุน และบุคคลที่มีส่วนได้เสียกับกิจการจึงจำเป็นต้องจัดหาผู้สอบบัญชีรับอนุญาตซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มีความเป็นอิสระเข้ามาปฏิบัติงานตรวจสอบและรับรอบงบการเงินของกิจการนั้นๆ ซึ่งผู้สอบบัญชีจะมีอํานาจตรวจสอบบัญชี เอกสารและหลักฐานอื่นใดที่เกี่ยวกับรายได้รายจ่ายตลอดจนทรัพย์สิน และหนี้สินของบริษัทได้ และมีอํานาจสอบถามกรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ดํารง ตําแหน่งหน้าที่ใดๆ ของบริษัท และตัวแทนของบริษัท ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดทำบัญชี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตจะต้องปฏิบัติงานภายใต้พระราชบัญญัติ กฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานต่างๆ  ที่เกี่ยวข้อง
ในการคัดเลือกผู้สอบบัญชีของบริษัทนั้นจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ โดยประการแรกผู้สอบบัญชีนั้นจะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นกรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ดํารงตําแหน่งใดๆ ของบริษัท และบริษัทจะต้องเลือกใช้บริการผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีที่มีใบอนุญาต ซึ่งรายชื่อผู้สอบบัญชีรับอนุญาตนั้น สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการคัดเลือกผู้สอบบัญชี คือ ผู้สอบบัญชีที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และความชำนาญในวิชาชีพบัญชีเป็นพิเศษ และควรมีความรู้ความชำนาญ มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนมีการพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถตรวจสอบบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจะพิจารณาว่าผู้สอบบัญชีรายนั้นสามารถปฏิบัติงานตามวิชาชีพและรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพได้เป็นอย่างดีหรือไม่ โดยหลักจรรยาบรรณพื้นฐานที่ผู้สอบบัญชีต้องมี ได้แก่ ความโปร่งใส  มีความเป็นอิสระแสดงความเห็นในรายงานการสอบบัญชี โดยไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลใดๆ  ความเที่ยงธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงานจนสามารถรวบรวมหลักฐานการตรวจสอบให้เป็นที่เพียงพอแก่การแสดงความเห็นในรายงานการสอบบัญชี โดยปราศจากการคาดคะเนใดๆ รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและรักษาความลับได้ และมีความรับผิดชอบต่อบุคคล หรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ให้  ในลำดับถัดมาบริษัทจะพิจารณาจากปัจจัยอื่น ได้แก่ คุณภาพการทำงานและการได้รับการยอมรับ ชื่อเสียงของผู้สอบบัญชีและสำนักงานบัญชี และค่าบริการที่เหมาะสม ไม่แพงหรือถูกจนเกินไป เพราะตามปกติแล้ว ผู้สอบบัญชีหนึ่งคนจะรับงานได้ไม่มากนัก  และแม้ว่าผู้สอบบัญชี 1 คนจะสามารถมีผู้ช่วยได้ 10 คน แต่หากมีอัตราการรับงานมากเกินไปก็จะกระทบต่อประสิทธิภาพในการตรวจสอบบัญชีได้

ปกติแล้วผู้ให้บริการตรวจสอบบัญชีในประเทศไทยจะอยู่ในรูปแบบของบุคคลธรรมดา และ บริษัทจำกัด / ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าสำนักงานบัญชี โดยเมื่อบริษัทตกลงที่จะจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีคนใด หรือจากสำนักงานใดแล้ว จะต้องมีการทำหนังสือข้อตกลงว่าจ้างและแต่งตั้งให้เป็นผู้สอบบัญชี และผู้สอบบัญชีจะจัดทำหนังสือตอบรับงานการตรวจสอบและรับรองบัญชี รวมถึงจัดทำแนวทางการสอบบัญชีสำหรับงานที่รับตรวจสอบไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ทราบถึงวิธีการปฏิบัติงานตรวจสอบ และจัดเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่กระบวนการและขั้นตอนในการตรวจสอบบัญชีต่อไป
By : AMTaudit

การเตรียมตัวสอบ CPA


การเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต  (Certified Public Accountant) หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า CPA นั้น เป็นอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของนักการบัญชีหลายๆ คน แต่การที่จะเป็น  CPA ได้นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ผู้ที่จะเตรียมตัวสอบ CPA จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ เพราะสภาวิชาชีพบัญชี ได้กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สอบ CPA ไว้หลายข้อ ซึ่งผู้ที่จะเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐาน ดังต่อไปนี้
1.        เป็นผู้ได้รับปริญญาทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี
2.        มีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ และมีสัญชาติไทย
3. ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี รวมทั้ง ไม่เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชีเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
4.        ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
5.        ไม่ประกอบอาชีพอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้ขาดความเป็นอิสระในหน้าที่ผู้สอบบัญชี
6.        ฝึกหัดงานเกี่ยวกับการสอบบัญชีมาแล้ว ซึ่งในส่วนของการฝึกหัดงานสอบบัญชีนั้น จะมีวิธีการและขั้นตอนดังต่อไปนี้
6.1      ผู้ฝึกหัดงานเป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพบัญชีแล้ว
6.2      ผู้ฝึกหัดงานจะยื่นคําขอแจ้งการฝึกหัดงานได้ก็ต่อเมื่อสอบผ่านวิชาการบัญชีตามที่คณะกรรมการกําหนดไม่น้อยกว่าสี่รายวิชา และวิชาการสอบบัญชีไม่น้อยกว่าหนึ่งรายวิชา ซึ่งรวมทุกรายวิชาแล้วต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าหน่วยกิต
6.3       ผู้ฝึกงานต้องยื่นคําขอแจ้งการฝึกหัดงานต่อคณะกรรมการก่อนเริ่มฝึกหัดงาน พร้อมด้วยหนังสือรับรองของสถาบันการศึกษาว่าได้สอบผ่านวิชาการบัญชี และวิชาการสอบบัญชีตามกำหนด
6.4          ผู้ฝึกหัดงานต้องผ่านการฝึกหัดงานสอบบัญชีจากหน่วยงานที่มีการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีของไทยหรือมาตรฐานการสอบบัญชีของต่างประเทศที่สภาวิชาชีพบัญชีให้การรับรอง
6.5      ผู้ฝึกงานจะต้องฝึกหัดงานเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี แต่ไม่เกินห้าปีนับจากวันยื่นคําขอแจ้งการฝึกหัดงาน และมีเวลาฝึกหัดงานรวมกันไม่น้อยกว่าสามพันชั่วโมง
เนื่องจากการสอบในบางวิชานั้นสามารถสอบได้เลย แต่ในบางวิชาจะต้องเก็บชั่วโมงการฝึกหัดงานให้ครบก่อน ผู้ที่ต้องการเตรียมตัวสอบCPA จึงต้องวางแผนการเรียนและแผนการสอบให้ดี  การเตรียมตัวสอบ CPA ให้ประสบความสำเร็จนั้น  ผู้ที่เตรียมตัวสอบ CPA ควรวางแผนการอ่านหนังสือล่วงหน้า โดยดูว่าวิชาไหนที่เราถนัด และไม่ถนัด และเรียงลำดับวิชาที่จะสอบก่อนหลังให้เรียบร้อย จากนั้นแบ่งเวลาอ่านหนังสือสำหรับแต่ละวิชา โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าเวลาพอสำหรับการทำความเข้าใจขอบเขตเนื้อหาทั้งหมด  นอกจากนี้การหาข้อสอบเก่ามาอ่านและลองทำ เพื่อให้เข้าใจแนวทางการออกข้อสอบ หรือประเด็นที่ออกสอบบ่อยๆ  รวมทั้งฝึกฝนเพื่อให้ทำข้อสอบบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้เราสามารถทำข้อสอบได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในการอ่านและทดลองทำข้อสอบเก่านั้นควรมีความระมัดระวัง และตรวจสอบให้ดีว่าคำตอบและวิธีการนั้นมีความเป็นปัจจุบันหรือไม่  จึงควรติดตามข่าวสารและความเปลี่ยนแปลงข้อกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่สำคัญอยู่เสมอ เพราะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจเกี่ยวข้องกับวิชาที่นำมาใช้ในการสอบ ซึ่งจะทำให้เราสามารถทำข้อสอบได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง
การเตรียมตัวสอบ CPA นั้น แม้ว่าจะยากและต้องใช้เวลานาน แต่หากเรามีการเตรียมตัวอย่างดี มีความพยายามและตั้งใจ โดยไม่ยกเลิกกลางคันแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จและได้เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในวันหนึ่งอย่างแน่นอน
BY: AMTaudit
www.amtaudit.com

ผู้สอบบัญชีตามกฎหมาย

ลักษณะของผู้สอบบัญชี ตามที่กฎหมายกำหนด
            ผู้สอบบัญชี หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชี  พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 (เป็นกฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้ทดแทนพระราชบัญญัติผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 มีทั้งหมด 78 มาตรา จัดแบ่งเป็น 9 หมวดและบทเฉพาะกาล) โดยใบอนุญาตนั้นยังไม่ขาดอายุ ไม่ถูกพัก ไม่ถูกเพิกถอน ดังนั้น ผู้ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตก็ดี หรือผู้ได้รับใบอนุญาตแล้วแต่ขาดต่ออายุใบอนุญาต ถูกพักใช้ใบอนุญาตหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตก็ดี ย่อมไม่เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย หากลงลายมือชื่อรับรองการสอบบัญชีของธุรกิจใดที่กฎหมายบัญญัติให้มีการสอบบัญชีหรือให้สอบไปแล้วย่อมมีความผิด และอาจได้รับโทษตามกฎหมาย การขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตนั้น ผู้จะขึ้นทะเบียนต้องมีพื้นความรู้และลักษณะครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้                                 
1. เป็นผู้ได้รับปริญญาทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ซึ่ง ก.บช.เทียบว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือเป็นผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีที่มีการศึกษา วิชาการบัญชี ซึ่ง ก.บช. เห็นสมควรให้เป็นผู้สอบบัญชี รับอนุญาต เรื่องพื้นฐานความรู้ของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเช่น ผู้ได้รับปริญญาบัญชีบัณฑิต ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชี ผู้ได้รับ A.C.A. หรือ Bachelor of Business Administration (Major in Accounting) เหล่านี้ ก.บช.(คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี)  ได้พิจารณาแล้วว่าเป็นปริญญา และประกาศนียบัตรทางการบัญชี เทียบได้ว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการบัญชีแล้ว                                                          
2. เคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอบบัญชีมาแล้ว โดย ก.บช. เห็นว่าทำหน้าที่เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้เรื่องนี้ ก.บช. ได้พิจารณาและยึดถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ผู้เคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอบบัญชีมาแล้วจากการหาผู้สอบบัญชี ซึ่ง ก.บช. เห็นว่าทำหน้าที่เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้นั้น ต้องมีการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอบบัญชีกับผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามปีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3,000 ชั่วโมง การปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสอบบัญชีดังกล่าวจะกระทำในระหว่างการศึกษาเพื่อรับปริญญาหรือประกาศนียบัตร หรือจะกระทำภายหลังได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรก็ได้ 
3. มีอายุยี่สิบปี                                                                                                         
4. มีสัญชาติไทย หรือมีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้บุคคลสัญชาติไทยเป็นผู้สอบบัญชีในประเทศนั้นได้                        
5. ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี                                  
6. ไม่เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่ ก.บช. เห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ   
7. ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ                                                          
8. ไม่ประกอบอาชีพอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้ขาดความเป็นอิสระในหน้าที่ผู้สอบบัญชี เรื่องการประกอบอาชีพอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้ขาดความเป็นอิสระในหน้าที่ผู้สอบบัญชี การประกอบอาชีพใดจะถือว่าไม่เหมาะสมหรือทำให้ขาดความเป็นอิสระในหน้าที่ผู้สอบบัญชีขึ้นอยู่กับอาชีพ และข้อเท็จจริงแต่ละกรณี ก.บช. ยังไม่เคยปฏิเสธการรับขึ้น ทะเบียนเพราะเห็นว่าประกอบอาชีพไม่เหมาะสม หรือทำให้ขาดความเป็นอิสระในหน้าที่ผู้สอบบัญชี แม้ผู้ซึ่งรับราชการก็อาจขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ หน้าที่ของผู้สอบบัญชี มีสิทธิลงลายมือชื่อรับรองการสอบบัญชีในฐานะผู้สอบบัญชีของธุรกิจที่กฎหมายบัญญัติให้มีการสอบบัญชีหรือให้มีผู้สอบบัญชี และมีสิทธิลงลายมือชื่อรับรองเอกสารในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผู้สอบบัญชีรับรองสำหรับสิทธิประการแรก ผู้ซึ่งมิได้เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตจะลงลายมือชื่อรับรองการสอบบัญชีในฐานะผู้สอบบัญชีไม่ ได้ ถ้าฝ่าฝืนก็มีความผิด แต่สำหรับสิทธิประการที่สอง มีผลแต่เพียงว่า เอกสารที่ทำขึ้นไม่มีผลตามกฎหมายนั้นๆ ถ้ามิได้รับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตมีหน้าที่ คือ ต้องรักษามรรยาทตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวงถ้าฝ่าฝืนอาจถูกสั่งพักหรือ เพิกถอนใบอนุญาต และในกรณีที่มีการย้ายสำนักงานหรือมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนต้อง แจ้งต่อ นายทะเบียนภายในกำหนด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี คือ เป็นความรับผิดต่อบุคคลที่สามอย่างลูกหนี้ร่วม ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีต้องรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม กฎหมายได้กำหนดให้นิติบุคคลซึ่งผู้สอบบัญชีนั้นสังกัดอยู่ ร่วมรับผิดชอบด้วยอย่างลูกหนี้ร่วม ในกรณีที่ยังไม่สามารถชำระค่าเสียหายตามความรับผิดชอบนั้นได้ครบจำนวน หุ้นส่วนหรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล หรือผู้แทนนิติบุคคลใด ซึ่งต้องรับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้น ต้องร่วมรับผิดจนครบจำนวน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำผิดที่ต้องรับ
จะเห็นได้ว่าวิชาชีพตรวจสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีเป็นการปฏิบัติตามกฏหมายกำหนด ซึ่งครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงบทบาทของผู้สอบบัญชีตามมาตรฐานการตรวจสอบบัญชีกันครับ
BY : AMTaudit

www.amtaudit.com

การเลือกลำดับวิชาสอบ CPA สำคัญ?

ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (Certified Public Accountant: CPA) เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีผู้สนใจจำนวนมาก ซึ่งการจะก้าวไปเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้นั้น จะต้องผ่านทั้งเงื่อนไขการฝึกหัดงานตรวจสอบบัญชีและการทดสอบตามที่สภาวิชาชีพฯ กำหนด ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมและการวางแผนในทุกกระบวนการ รวมถึงการเลือกวิชาสอบ CPA ก่อนหลังให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ที่เตรียมตัวสอบมีโอกาสที่จะสอบผ่านมากขึ้น
การทดสอบของผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีนั้น โดยปกติแล้ว หลังจากที่ยื่นขอแจ้งการฝึกงานแล้ว ก็จะสามารถขอทดสอบได้เลย ไม่จำเป็นต้องเก็บชั่วโมงการฝึกหัดงานให้ครบก่อน ยกเว้นวิชาการสอบบัญชี1 การสอบบัญชี2 ที่จะต้องฝึกหัดงานเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีและเก็บชั่วโมงการฝึกหัดงานให้ได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันชั่วโมงจึงจะสามารถขอเข้าทดสอบได้ (เนื่องจากทั้งวิชาสอบบัญชี 1 และ 2 ประสบการณ์การทำงานจะมีส่วนช่วยในการสอบได้มาก) โดยปกติแล้วการทดสอบจะจัดขึ้นอย่างน้อยปีละสองครั้ง ทั้งนี้ผู้รับการทดสอบจะสมัครสอบทุกวิชาหรือสมัครสอบบางวิชาก็ได้ และเกณฑ์การสอบผ่านคือต้องทำคะแนนในแต่ละวิชาไม่น้อยกว่าร้อยละหกสิบจึงจะถือว่าผ่าน โดยผู้รับการทดสอบจะสามารถสะสมผลการทดสอบของแต่ละวิชาที่สอบผ่านแล้ว ได้ไม่เกินสี่ปีนับจากวันที่ผ่านการทดสอบแต่ละวิชา  
การสอบ CPA นั้น สภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดวิชาที่จะต้องสอบไว้ทั้งหมด 6 วิชา ได้แก่  วิชาการบัญชี 1 วิชาการบัญชี 2 วิชาการสอบบัญชี 1 วิชาการสอบบัญชี 2 วิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี 1 และวิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี 2 ทั้งนี้ตั้งแต่การสอบครั้งที่ 28 (2/2557) เป็นต้นมาได้มีการปรับปรุงขอบเขตเนื้อหาวิชาในการทดสอบ วิชาการบัญชี 1, วิชาการบัญชี 2 และวิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี 2 ดังนั้นผู้เข้ารับการทดสอบจึงควรใช้ความระมัดระวังในการฝึกทำข้อสอบเก่า!!!! โดยศึกษาขอบเขตวิชาที่จะทดสอบให้ดี
การเลือกวิชาสอบ CPA นั้นคนส่วนใหญ่จะแนะนำให้เลือกสอบวิชาที่ยากที่สุดหรือวิชาที่ไม่ถนัดที่สุดก่อน  เพราะหากสอบไม่ผ่าน เราจะได้มีเวลาเหลือสำหรับการท่องแม่บท ข้อบังคับ และมาตรฐานของวิชานั้นให้แม่น เพื่อเตรียมสอบใหม่อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนแนะนำว่าควรเลือกสอบวิชาที่ง่ายที่สุดก่อน เพราะหากสอบผ่านเลย ก็จะมีกำลังใจในการอ่านหนังสือสอบครั้งต่อไปยิ่งๆ ขึ้น ทั้งนี้วิชาที่ยากที่สุด และวิชาที่ง่ายที่สุดของแต่ละคนนั้นก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นให้ยึดความถนัดและความพร้อมของเวลาในการอ่านหนังสือของผู้สอบเองเป็นหลัก ไม่ควรเลือกวิชาสอบ CPA ตามเพื่อน แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งจบ หรือกำลังเรียนเพิ่มเติมอยู่ อาจใช้เทคนิคในการเลือกวิชาสอบ CPA ที่มีเนื้อหา โครงสร้าง หรือขอบข่ายวิชาใกล้เคียงกับวิชาที่เรียนในช่วงนั้นๆ เพราะจะได้สามารถอ่านหนังสือเตรียมสอบ และเรียนรู้ทำความเข้าใจบทเรียนไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา และทำให้มีความเข้าใจในเนื้อหาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม วิชาการสอบบัญชี1 และ 2 ต้องรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการสอบบัญชีทั้งหมดจึงต้องรอสอบหลังจากผ่านการฝึกงานครบ1 ปีนะครับ
การเลือกวิชาสอบ CPA  นั้น ไม่ว่าจะเลือกสอบวิชาใดก่อน หรือหลัง แต่สุดท้ายก็ยังต้องสอบจนครบทุกวิชาอยู่ดี ดังนั้นหากผู้สอบมีความมุ่งมั่นที่จะสอบเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตให้ได้  มีความตั้งใจ และความพยายาม ในการพัฒนาความรู้ตลอดเวลา ก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ความลับของกฏแรงดึงดูด(The Secret) กับการสอบ CPA
1.   ต้องชัดเจนว่าอยากได้ CPA (ถ้าเป้าหมายเราชัดเจน ผมว่าโอกาสได้ CPA เกิน 50% แล้ว)
2.   ต้องเชื่อว่าเราจะได้ CPA (เพราะถ้าไม่เชื่อ คุณจะไม่ Focus ที่เป้าหมายแต่ คุณจะไป Focus กับปัญหาและเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้คุณสอบไม่ได้)
3.  ต้องลงมือทำตามทาง สู่การเป็น CPA (ถ้าคุณมีข้อ 1 และข้อ 2 และหนทางสู่การเป็น CPA จะมาเอง ผมเรียกว่าการรับ คือการเตรียมตัวหรือทำตัวให้สมกับ CPA)
BY : AMTaudit

www.amtaudit.com

การทำงบการเงินของนิติบุคคลอาคารชุด และนิติบุคคลหมู่บ้าน


ในปัจจุบันผู้คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมมากขึ้น เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยมีจำกัดตามการขยายของความเจริญและตัวเมือง ซึ่งหมู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมล้วนเป็นแหล่งอาศัยที่เราต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวอื่นอีกหลายครอบครัว และมีผู้ดูแลผู้อยู่อาศัยทั้งหมดคือนิติบุคคลผู้รับผิดชอบโครงการที่อยู่อาศัยนั้นๆ โครงการหมู่บ้านหรือคอนโดเองก็เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องมาการส่งงบการเงินเพื่อตรวจสอบตามกฎหมาย ดังนั้นการใช้บริการผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลอาคารชุดจึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาในส่วนนี้ เพราะบริการรับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลอาคารชุดที่มีนักตรวจสอบที่มีความรู้ความสามารถ ย่อมดำเนินการได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการอำนวยความสะดวกแกนิติบุคคลได้เป็นอย่างดี
การดำเนินการทำบัญชีนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรืออาคารชุดให้ถูกต้องต้องดำเนินการตามที่กฎหมายตามพระราชบัญญัติการบัญชีซึ่งกำหนดเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. ผู้ทำบัญชีต้องมีคุณสมบัติและเงื่อนไขตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด
2. ต้องมารควบคุมดูแลการทำบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ตรงตามความจริงและถูกต้อง ซึ่งในส่วนนี้การเลือกผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพย่อมดีกว่า
3. ในบัญชีต้องมีชนิด ข้อความ และรายการที่กำหนด รวมถึงระยะเวลาในการลงบัญชีด้วย
4. เอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีต้องครบถ้วน เช่น บันทึกใดๆ ที่ใช้เป็นหลักฐานในการลงรายการ ใบเสร็จ เป็นต้น
5. การปิดงบบัญชีการเงินนิติบุคคลและอาคารชุดครั้งแรกจะปิดภายใน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 เมษายน
6. จากนั้นงบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลภายใน 60 วัน นับจากวันสิ้นสุดรอบบัญชี โดยคณะกรรมการบริหารนิติบุคคลต้องทำการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีขึ้น จะเห็นได้ว่าผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลมีบทบาทอย่างมากในการดำเนินงาน
7. ทำการยื่นงบการเงินหมู่บ้านหรืออาคารชุดต่อกรมที่ดินภายในจังหวัด ภายในระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่วันสิ้นรอบบัญชี
8. ต้องมีการเก็บรักษาบัญชีรวมถึงเอกสารต่างๆ ที่ใช้ในการลงบัญชีเอาไว้ด้วย โดยเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี ไว้ ณ สถานที่ทำการ และต้องเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันปิดบัญชี
ขั้นตอนดังกล่าวเป็นการดำเนินการในเรื่องการจัดทำงบการเงินของนิติบุคคลอาคารชุด จำพวกคอนโดมิเนียมต่างๆ ไปจนถึงหมู่บ้านจัดสรรที่มีนิติบุคคลดูแลและควบคุมธุรกิจ เพื่อความโปร่งใส เที่ยงธรรม และความถูกต้อง นิติบุคคลเหล่านี้ก็จำเป็นต้องแสดงผลประกอบการรวมถึงข้อมูลงบการเงินต่างๆ แก่ทางราชการเพื่อประเมินการจ่ายภาษีต่อไปในอนาคต ผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคล จึงเข้ามามีส่วนช่วยในการดำเนินการแทนนิติบุคคล ซึ่งผู้รับตรวจสอบบัญชีนิติบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่ทางนิติบุคคลแต่งตั้งเพื่อดำเนินการให้การส่งงบการเงินเป็นไปตามกฎหมายที่ได้กำหนดไว้ เมื่อเลือกใช้บริการผู้ตรวจสอบที่มีความรู้ความเข้าใจกฎหมาย ก็จะทำให้การทำบัญชีงบการเงินนิติบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนที่วางไว้ในพระราชบัญญัติการบัญชี รวมถึงลดข้อผิดพลาดอันเกิดจากการทำงบการเงินต่างๆ และการดำเนินการยื่นเอกสารสำคัญทั้งหลายต่อทางราชการด้วย เมื่อได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายกำหนด นิติบุคคลก็มั่นใจได้ว่าการดำเนินการอาคารชุดหรือหมู่บ้านจัดสรรจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายกับทางราชการอย่างแน่นอน
BY : AMTaudit

www.amtaudit.com

คุณค่าของงานบัญชี


การประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นเกิดจากการดำเนินการหลายส่วนมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน เปรียบเหมือนฟันเฟืองแต่ละชิ้นที่ขับเคลื่อนกิจการให้ดำเนินไปข้างหน้า แต่สิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่ามีความสำคัญอยู่ในลำดับต้นๆ หรือเป็นเฟืองชิ้นใหญ่ของธุรกิจก็คือการทำบัญชีนั่นเอง การเลือกผู้รับทำบัญชีเป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความสนใจ เพราะระบบการเงิน การบัญชี เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและสะท้อนฐานะทางการเงินทุกอย่าง หากขาดการทำบัญชีจากผู้ที่รับทำบัญชีไป บริษัทย่อมขาดส่วนสำคัญที่จะเป็นเครื่องมือตรวจสอบฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน รวมถึงขาดความน่าเชื่อถือในสายตาบุคคลคนภายนอก
ความหมายของการทำบัญชี คือ งานที่ต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอเกี่ยวกับการบันทึกข้อมูลและรวบรวมข้อมูลในแต่ละวันเพื่อดำเนินการจัดทำเป็นงบการเงิน ซึ่งงานนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้รับทำบัญชี ซึ่งจะมีหน้าที่รวบรวมและบันทึกข้อมูลประจำวันต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น รายรับ รายจ่าย ทุน หนี้สิน และข้อมูลอื่นๆ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลของธุรกิจในด้านฐานะ ช่วยแสดงความเป็นไปของธุรกิจให้แก่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่สนใจร่วมลงทุนในบริษัทได้รับทราบ นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย เช่นเจ้าหนี้และธนาคารที่ให้บริการด้านสินเชื่อด้วยเช่นกัน
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การทำบัญชีโดยผู้ให้บริการรับทำบัญชีนั้นยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ดังนี้
1. การรวบรวมข้อมูลที่เป็นปัจจุบันจากผู้รับทำบัญชี ทำให้เห็นภาพรวมของสถานะทางการเงินของบริษัท มีส่วนช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถควบคุมทรัพย์สินของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. บัญชีเป็นตัวช่วยรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบระยะเวลาหนึ่งๆ ตามแต่ที่เรากำหนดรอบบัญชีต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลกำไรหรือขาดทุน เพราะเป็นการรวบรวมข้อมูลจริงในช่วงระยะเวลานั้นมาบันทึกไว้
3. การทำบัญชีทำให้เราสามารถทราบข้อมูลฐานะทางการเงินของกิจการในรอบบัญชีนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหนี้สิน เงินทุนที่ใช้ลงทุนของผู้ประกอบการ ว่า ณ เวลานั้น บริษัทหรือธุรกิจมีการดำเนินงานไปในทิศทางใด
4. การทำบัญชีเปรียบเหมือนการรวบรวมข้อมูลทางสถิติที่ใช้อ้างอิงย้อนหลังได้ มีคุณค่าในแง่ของการเป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท และยังสามารถนำสถิติบัญชีย้อนหลังมาวิเคราะห์และหาแนวทางดำเนินงานใหม่ๆ เพื่อทำให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
5. การจดบันทึกบัญชีทุกวันเป็นการช่วยบันทึกรายการการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นลำดับก่อนหลัง อีกทั้งยังช่วยจำแนกประเภทของรายการต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการค้นหาและใช้อ้างอิง
6. การทำบัญชีเป็นการทำตามกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการทำบัญชีของบริษัทหรือธุรกิจต่างๆ
จะเห็นได้ว่าการทำบัญชีนั้นหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานทางธุรกิจอย่างแยกไม่ได้ เพราะบัญชีคือส่วนสำคัญที่เปรียบเสมือสมุดจดบันทึกข้อมูลทุกอย่างทางการเงินและรายการดำเนินกิจกรรมของบริษัท บริการรับทำบัญชีจากนักบัญชีมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความชำนาญจึ่งสามารถเข้ามามีบทบาทในการรับทำบัญชี เพราะการทำบัญชีกับนักบัญชีมืออาชีพ ย่อมได้งานบัญชีคุณภาพ ถูกต้องและแม่นยำ ช่วยสะท้อนฐานะทางเกินของบริษัทอย่างโปร่งใส่ มีความน่าเชื่อถือ
By : AMTaudit

www.amtaudit.com